ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้

"ฅนวัฒนธรรม" มีความประสงค์ที่จะเป็นพื้นที่หนึ่งในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของผู้สนใจงานด้านวัฒนธรรม วัฒนธรรมศึกษาทุกแนว บทความต่าง ๆ ส่วนหนึ่งจะเป็นบทความของเพื่อนพ้องน้องพี่ที่สนใจ และส่วนหนึ่งก็จะนำเอาแนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ ที่น่าสนใจจากแหล่งต่าง ๆ มาเปิดความรู้ด้วยมิติทางวิชาการบ้างตามสมควร

ขอเรียนเชิญเพื่อนพ้องน้องพี่ที่สนใจส่งบทความมาลง หรือให้ข้อคิดเห็นได้ครับ
เชื่อมั่น
ครูตรินห์
trinmanee@gmail.com
-------------------------------------------------------------------------------------

Thursday, October 16, 2008

โรงงานแป้งขนมจีนเมืองนครฯ

ก่อนจะมาเป็นโรงงานแป้งขนมจีน
คุณวิโรจน์ เล่าถึงความเป็นมาของบริษัทให้ฟังว่า เกิดขึ้นจากเวทีประชุมของผู้นำชุมชนในภาคใต้ ที่จังหวัดสงขลา เมื่อปลายปี ๒๕๓๕ จากการประสานงานของสถาบันพัฒนาชนบท มูลนิธิหมู่บ้าน โดยที่ประชุมได้เสนอแนวคิด ค้นหารูปแบบเพื่อการสร้างงานให้ชุมชนในรูปแบบธุรกิจชุมชน เพื่อให้เกิดแนวร่วมในการพัฒนาเครือข่ายร่วมกันในอนาคต หลังจากนั้นได้มีการไปศึกษาดูงานเกี่ยวกับธุรกิจชุมชนที่ภาคอีสานหลายจังหวัด รวมทั้งโรงแป้งขนมจีนของ บริษัท พ.ศ.ช. ผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ที่จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นที่ผลิตแป้งสำหรับทำเส้นขนมจีนจำหน่ายให้แก่ผู้ผลิตเส้นขนมจีนในภาคอีสาน หลังจากกลับจากการศึกษาดูงานแล้ว ก็กลับมาคิดกันว่าจะทำอะไรที่สามารถต่อยอดอาชีพของคนบ้านเรา ซึ่งเป็นเกษตรกรได้ เมื่อมาเห็นว่าบ้านเรากินขนมจีนกันมาก รวมทั้งในจังหวัดภาคใต้อื่นๆ ด้วย ดังเช่นที่ ประยงค์ รณรงค์ ประธานบริษัท และผู้นำกลุ่มไม้เรียงเคยพูดเกี่ยวกับการบริโภคขนมจีนของคนใต้ไว้ว่า "เฉพาะในนครศรีธรรมราชเพียงจังหวัดเดียว ก็มีปริมาณบริโภคเส้นขนมจีนในแต่ละวันเท่ากับคนอีสานทั้งภาคเลยทีเดียว" จึงเกิดความคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงในการที่จะนำธุรกิจตัวนี้มาทำในภาคใต้ จากนั้นก็ได้มีการประชุมพูดคุยกันหลายครั้ง จนได้ข้อสรุปร่วมกันในการที่จะจัดตั้งโรงงานแป้งขนมจีนเป็นธุรกิจของชุมชน อันจะนำไปสู่การเรียนรู้ ภูมิปัญญา และสามารถพัฒนาไปสู่ความเป็นชุมชนเข้มแข็งอย่างแท้จริงได้ในที่สุด

ในช่วงแรกตั้งใจไว้ว่าจะลงทุนเพียงล้านกว่าบาท ซึ่งต้องใช้วิธีการระดมทุนจากสมาชิก และกลุ่มองค์กรชุมชนที่สนใจ แต่กว่าจะทำได้นั้นต้องใช้วิธีการต่างๆ หลายวิธี และใช้เวลาค่อนข้างยาวนาน (เริ่มคิดเมื่อ ๒๕๓๕ เริ่มเปิดดำเนินการได้ประมาณกลางปี ๒๕๓๙) คุณวิโรจน์บอกว่า "ต้องประชุมกันแทบนับไม่ถ้วน คือไม่ว่าจะไปชุมเรื่องอะไร เวทีไหน จะต้องเอาเรื่องนี้ไปแทรกด้วยทุกครั้ง ต่อมาคิดกันว่าทำเป็นโครงการ เย็บเป็นเล่ม ไปพูดไหนแจกนั่น เราแจกเพื่อต้องการเรียกหุ้น เมื่อเรียกหุ้นได้แล้วพบว่ายอดจองเกือบ ๓ ล้านบาท" อันแสดงให้เห็นถึงการทำงานอย่างจริงจัง และต่อเนื่องของผู้นำ จนสามารถระดมหุ้นได้จำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามเมื่อได้เริ่มดำเนินการสร้างโรงงานจริง ทุนที่ทางกลุ่มคิดว่ามากแล้วก็ไม่เพียงพอ เพราะต้องใช้ทุนจริงถึง ๕ ล้านบาท ทางกลุ่มจึงได้ใช้วิธีการกู้ธนาคาร และระดมหุ้นเพิ่มเติม จนสามารถเปิดดำเนินการได้อย่างเต็มรูปแบบในที่สุด โดยมีผู้หุ้น ๑๐๐ กว่าคนเป็นผู้นำ และสมาชิกของชุมชน และยังดึงเอาองค์กรชุมชนมาร่วมหุ้นด้วยอีก ๕ องค์กร ซึ่งแต่ละองค์กรมีสมาชิกอยู่จำนวนมาก รวมแล้วสมาชิกที่ได้รับผลประโยชน์ทางอ้อมตรงนี้ ไม่ต่ำกว่า ๗,๐๐๐ กว่าคนเลยทีเดียว

สูตรแป้งขนมจีนจากภูมิปัญญา
คุณวิโรจน์ เล่าต่อว่าในการทำแป้งขนมจีนของโรงงานในช่วงแรกนั้น จะใช้แป้งหมักตามสูตรของภาคอีสาน ตามที่ได้ศึกษาดูงานมา แต่ก็เกิดปัญหาขึ้น เมื่อแป้งขนมจีนมีกลิ่นจากการหมัก เป็นผลให้ตลาดในท้องถิ่นไม่ยอมรับ จึงต้องไปศึกษาสูตรของท้องถิ่น จากหลายแหล่ง เช่น ที่ในตัวเมืองนครฯ ปากพนัง ทุ่งสง สิชล สุราษฎร์ เป็นต้น จนได้สูตรที่เหมาะกับความต้องการของตลาดท้องถิ่น คือใช้วิธีการแช่แป้งแล้วบด ขณะที่ในอีสานใช้วิธีการหมัก ตะวันออกใช้วิธีการบ่มเช่นเดียวกับภาคกลาง ซึ่งนับเป็นการเรียนรู้วิธีการผลิตแป้งขนมจีนจากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สั่งสม ถ่ายทอด กันมาหลายชั่วอายุคน แล้วนำมาดัดแปลงประยุกต์ให้เหมาะสมกับการทำแบบอุตสาหกรรมได้อย่างผสมกลมกลืน

แป้งขนมจีนที่นี่ทำกันอย่างไร
ในการผลิตแป้งขนมจีนนั้น คุณสร้อย ทองพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายผลิต ได้ให้ความรู้ถึงกระบวนการการผลิตของโรงงานแป้งขนมจีน โดยเล่าให้เราฟังว่า โรงงานผลิตแป้งขนมจีนของที่นี่จะใช้ข้าวสารจากลุ่มน้ำปากพนังทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวปากพนังที่ขายข้าวสารได้ราคาถูก กระบวนการผลิต จะนำข้าวสารที่ได้มาแช่น้ำไว้ประมาณ ๑ คืน จากนั้นก็จะนำไปเข้าเครื่องบดและร่อน ก่อนที่จะนำไปพักไว้ในบ่อพักอีก ๑ คืนโดยเติมน้ำเกลือลงไป ช่วยทำให้ยีสต์เพิ่มจำนวน และช่วยไม่ให้แป้งบูด สามารถเก็บไว้ได้นาน จากนั้นจึงถ่ายน้ำออก นำแป้งเข้าเครื่องอัดเพื่อบีบน้ำออกอีกครั้งหนึ่งจนได้เป็นก้อนแป้ง แล้วนำมาชั่งน้ำหนักบรรจุถุงพร้อมที่จะส่งจำหน่ายได้ โดยจะบรรจุถุงละ ๒๐ กิโลกรัม ราคาขายหน้าโรงงานถุงละ ๑๘๐ บาท ซึ่งแป้งขนมจีนที่นี่สามารถเก็บไว้ได้ประมาณ ๕-๗ วัน โรงงานผลิตแป้งขนมจีนแห่งนี้ จะผลิตแป้งขนมจีนออกจำหน่ายเฉลี่ยวันละประมาณ ๗ ตัน (กำลังการผลิตเต็มที่ประมาณ ๑๔ ตัน) ซึ่งโรงงานแห่งนี้นอกจากจะผลิตแป้งขนมจีนส่งจำหน่ายแล้ว ยังได้ผลิตเครื่องทำเส้นขนมจีนจำหน่ายอีกด้วย

โรงงานแป้งขนมจีนแห่งนี้ เริ่มเดินเครื่องทำการผลิตเมื่อประมาณกลางปี ๒๕๓๙ ในปีแรกที่ดำเนินการนั้น กิจการขาดทุนเพราะยังไม่มีประสบการณ์ แต่ได้นำบทเรียนที่ได้จากประสบการณ์มาพัฒนา จนกระทั่งในปี ๒๕๔๐ ก็เริ่มได้กำไร ขายได้ประมาณ ๔-๕ ล้านบาท จากนั้นก็ได้กำไรมาตลอด โดยเดือนหนึ่งๆ ไม่ต่ำกว่า ๑ ล้านบาท ทำให้สามารถขายหุ้นได้เพิ่มถึง ๕ ล้านบาท (๕๐,๐๐๐ หุ้น หุ้นละ ๑๐๐ บาท) "ซึ่งในตอนแรกชาวบ้านไม่ค่อยเชื่อเท่าไรทำให้เราไม่สามารถระดมหุ้นได้เต็มที่ แต่ตอนนี้ถ้าถามว่าถ้าสร้างโรงงานใหม่จะมีหุ้นไม๊...เราไม่กลัวอีกแล้ว เพราะชาวบ้านเชื่อแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าจะตั้งโรงงานอะไรเขาก็เชื่อแล้ว นี่มาจากความเชื่อมั่น แต่ถ้าคิดแบบนักธุรกิจที่หอบเงินมาลงเขาไม่คุ้ม เขาใช้เวลาสั้น คิดว่าเวลาเท่าใด ได้เท่าใด ดอกเบี้ยเท่าไร คุ้มไม่คุ้ม แต่ถ้าคิดแบบทำเอาวิชาความรู้ เอาประสบการณ์ ทำเชิงวิจัยที่จะเรียนรู้ ตรงนี้มันมีค่ามหาศาล เพราะเราได้รู้ เราเชื่อว่าถ้านายทุนหอบเงินมาลงสัก ๑๐ ล้านมาลง แล้วเรามีเงินทำสัก ๑๐ ล้านมาแข่งขันกัน ถ้าล้มเชื่อว่าของเขาล้มก่อน เพราะไม่มีกระบวนการเรียนรู้ ของเราเรียนรู้อย่างต่อเนื่องทั้งข้อดี ข้อเสีย จุดอ่อน จุดแข็ง เรียนรู้มาหมด" คุณวิโรจน์บอกเราด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความภาคภูมิใจในความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เริ่มก่อตั้งโรงงานนั้น ได้มีบททดสอบผู้นำชุมชนที่สำคัญ นั่นคือมีบริษัทยักษ์ใหญ่บริษัทหนึ่ง มาขอซื้อกิจการโรงงาน โดยจะให้ราคาถึง ๒๐ ล้านบาท ในขณะที่โรงงานมีทุนก่อตั้งเริ่มแรกเพียงแค่ ๓ ล้านบาทเท่านั้น โดยทางบริษัทยักษ์ใหญ่ขอซื้อตัวผู้นำ และพนักงานระดับนำไปด้วย พร้อมทั้งเสนอเงื่อนไขค่าตอบแทนให้อย่างที่พอใจ แต่คุณวิโรจน์บอกว่า "ผู้นำ-คณะกรรมการของเราไม่ต้องการเพราะเสียศักดิ์ศรี ถ้าเรายอมเพราะเห็นแก่เงิน ก็จะทำให้เป็นการทำลายขบวนการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนไปในทันที" การเกิดขึ้นของโรงขนมจีน นอกจากทำให้ชุมชนมีงานทำและสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนจากธุรกิจชุมชนแล้ว ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าของวัตถุดิบคือ "ข้าวสาร" ของลุ่มน้ำปากพนังที่มีราคาต่ำให้เกิดมูลค่าเพิ่มอย่างมหาศาล ซึ่งหากชุมชนต่าง ๆ เริ่มคิดถึงการเพิ่มมูลค่าวัถุดิบ หรือทรัพยากรในท้องถิ่นอย่างเป็นระบบเช่นนี้แล้ว ก็จะสามารถพัฒนาชุมชนไปสู่ความเข้มแข็งและยั่งยืนอย่างแน่นอน

จาก "ข้าวสาร" สู่ "เส้นขนมจีน" มูลค่าเพิ่มจากชุมชน
ข้าวสาร ๑๐๐ กิโลกรัม ราคาขณะนี้ ๗๘๐ บาท (กิโลกรัมละ ๗.๘๐ บาท) สามารถผลิตแป้งขนมจีนได้ประมาณ ๑๓๕ กิโลกรัม ราคาขายแป้งหน้าโรงงานกิโลกรัมละ ๙ บาท นำไปทำเส้นขนมจีนได้ประมาณ ๒๓๕ กิโลกรัม ราคาขายกิโลกรัมละ ๑๐บาท จะเห็นได้ว่ามูลค่าเพิ่มจากข้าวสาร ๑๐๐ กิโลกรัม ราคา ๗๘๐ บาท มาผลิตเป็นแป้งขนมจีนได้ถึง ๑๓๕ กก. ๑,๒๑๕ บาท (๑๓๕ กก. x ๙ บาท) ได้กำไรส่วนต่างจากข้าวสารถึง ๔๓๕ บาท และเมื่อนำแป้งไปผลิตเป็นเส้นขนมจีนจะได้น้ำหนัก ๒๓๕ กิโลกรัม มูลค่า ๒,๓๕๐ บาท (๑๓๕ กก. x ๙ บาท) กำไรส่วนต่างจากข้าวสารถึง ๑,๕๗๐ บาท ถ้าวันหนึ่งผลิตได้ถึง ๗ ตัน จะเป็นมูลค่าสักเท่าไหร่.....(ข้อมูลต้นปี ๒๕๔๕)

แม้ว่าบริษัทและโรงงานแป้งขนมจีนจะเดินไปได้อย่างน่าพอใจ แต่ก็ไม่หยุดนิ่งอยู่แค่นั้น ได้มีการประสานกับมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ในการวิจัยและพัฒนาต่อยอดจากโรงงานแป้งขนมจีน เพื่อเพิ่มมูลค่าและการขยายงาน ในการนำเอาแป้งมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง เช่นทำเส้นหมี่ เพราะต่างประเทศยังต้องการอยู่มาก หรือ การนำน้ำที่เหลือจากการผลิตนำมาทำน้ำส้ม ซึ่งจะทำให้โรงงานนี้พัฒนาไปสู่การเป็นโรงงานต้นแบบ ที่สามารถทำผลผลิตให้เกิดประโยชน์สูงสุด และยังเป็นการประสานภาคีต่างๆ ให้มาร่วมมือกันอีกด้วย นอกจากนั้นก็ได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อยู่เสมอ ทั้งในประเทศและชาวต่างประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น และฝรั่งเศส มาเรียนรู้และทำการศึกษาวิจัยกระบวนการของชุมชน เขาไม่ได้มาศึกษากระบวนการผลิตว่าการทำแป้งขนมจีนนั้นทำอย่างไร แต่เขาศึกษากระบวนการเกิดว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นการศึกษากระบวนการของชุมชนที่ต่างชาติให้ความสนใจ

แนวคิดการประสานเพื่อการพัฒนา
ผู้จัดการบริษัทฯ ได้บอกกล่าวถึงแนวคิดในการพัฒนาว่า ประเทศไทยมีทรัพยากรมหาศาล แต่เราขาดแว่นในการส่องดู ขาดคนที่เป็นปัญญาชนที่เป็นหัวสมองเก่งๆ ที่จะมาคิดค้น และที่สำคัญคือขาดการประสาน คือวิชาการเรามี ทุน (เงิน) เรามี ภูมิปัญญาเราก็มี กฎหมายเราก็มี แต่อยู่คนละแห่งกัน ทำอย่างไรให้คน ๔ กลุ่มนี้มาจับมือร่วมกัน แล้วรับรองว่าประเทศไทยไม่จน ที่ผ่านมาเราไม่ได้มีการประสานกัน นักวิชาการก็คิดไปทางหนึ่ง ทุนก็อยู่ทางหนึ่ง ภูมิปัญญา (ชุมชน) ก็ทำกันไปทางหนึ่ง กฎหมายก็ไม่เปิดช่องให้ชุมชน หรือให้คนไทยได้ทำงานตามภูมิปัญญาของชุมชน ถ้าต่างฝ่ายต่างคิดรับรองได้ว่าไม่มีวันสำเร็จ ถ้าเราเอาภูมิปัญญามาต่อยอดกับผลิตผลของชาวบ้าน เช่น เอาข้าวน้ำนมมาบรรจุกล่อง สมุนไพร ผลไม้เพื่อสุขภาพ เป็นต้น แต่ต้องให้คนทั้ง ๔ กลุ่มนี้มาประสานกัน ถ้าทำได้ หมู่บ้านละล้านก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งลงมา เราเอาชุมชนมาเป็นทุนโดยการผลักดันทีละตัว แต่กฎหมายต้องเปิดช่องให้เรารวมได้ ให้เราทำภาคีกันได้ เช่นเดียวกับบริษัทของเรา ความหวังสูงสุดของการก่อตั้งบริษัทนี้ขึ้นมา ก็ไม่ได้หวังว่าชาวบ้าน/ชุมชนจะร่ำรวยแต่ประการใด แต่มุ่งหวังเพื่อให้ชาวบ้านสามารถเลี้ยงตัวเองได้จากต้นทุน หรือทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมากมายในชุมชน และรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของพร้อมที่จะรักษา ดูแล และใช้มันอย่างคุ้มค่า"

สุดท้ายคุณวิโรจน์ฝากข้อคิดเห็นไว้ว่า ถ้าหากชุมชนอื่นๆ ต้องการที่จะทำธุรกิจของชุมชนในรูปแบบนี้ให้ประสบผลสำเร็จนั้น ให้คำนึงถึงปัจจัยหลัก ๔ ประการ คือ

ประการที่ ๑
ผู้นำต้องมีความคิด มีวิสัยทัศน์ และกำหนดยุทธศาสตร์ที่ต่อยอดกับอาชีพเดิมในชุมชนให้ได้
ประการที่ ๒
ต้องคิดจากฐานของทุนชุมชนเป็นหลักไม่ใช่ทุนภายนอก ทั้งทุนทรัพยากร ทุนบุคคล และทุนทางสังคมอื่นๆ
ประการที่ ๓
ต้องมีนักวิชาการมาเป็นพี่เลี้ยงหรือที่ปรึกษา แต่ไม่ใช่มาสั่งการ
ประการที่ ๔
สำคัญมากคือ ต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้ และมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง ถ้าได้อย่างนี้แล้วโอกาสประสบความสำเร็จจะมีสูง และจะเกิดความเป็นชุมชนที่เข้มแข็งตามมา ไม่ใช่ชุมชนเข้มแข็งที่เป็นแค่เพียงคำพูดหรือตัวหนังสือ
บริษัทเครือข่ายผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ตั้งอยู่ที่ ๒๗๖ หมู่ ๕ ต.กะหรอ กิ่งอำเภอนบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช เป็นบริษัทผลิตแป้งขนมจีนซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้านอย่างหนึ่งของคนใต้ออกส่งจำหน่ายไปหลายจังหวัด เป็นบริษัทที่ไม่เหมือนกับบริษัททั่ว ไป เพราะเป็นบริษัทของชุมชน ที่จัดตั้ง ถือหุ้น ดำเนินการ โดยชุมชนอย่างแท้จริง มีนายวิโรจน์ คงปัญญา ผู้นำชุมชนเป็นผู้จัดการบริษัทฯ

ตฤณ สุขนวล
เผยแพร่ครั้งแรกใน "วิถีไทย วิถีทางสู่ชุมชนพึ่งตนเอง" พ.ศ.๒๕๔๕

No comments: